Applications of Raman Spectroscopy Technology for Tuberculosis Screening in Communities and Hospital Network in North East Thailand (Collaborative Research Project through Open PhilanThropy Foundation)

โรคติดเชื้อยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน วัณโรคถือเป็นหนึ่งในโรคที่สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาลต่อสังคมไทย ด้วยตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ที่สูงถึงกว่าหนึ่งแสนรายต่อปี และการสูญเสียชีวิตมากกว่าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันรายในแต่ละปี ขณะที่ระบบการตรวจวินิจฉัยในปัจจุบันสามารถค้นพบผู้ป่วยได้เพียงร้อยละห้าสิบเก้าเท่านั้น ความท้าทายนี้ได้กระตุ้นให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมมือกับมูลนิธิโอเพ่นฟิลแลนโทรปี (Open Philanthropy Foundation) ริเริ่มโครงการวิจัยสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการตรวจวินิจฉัยวัณโรคในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง

โครงการ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีรามานสเปกโตรสโคปีเพื่อการคัดกรองวัณโรคในชุมชนและเครือข่ายโรงพยาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงข้อจำกัดสำคัญของวิธีการตรวจวินิจฉัยแบบดั้งเดิม ซึ่งต้องใช้เวลานาน มีค่าใช้จ่ายสูง และที่สำคัญคือไม่สามารถจำแนกวัณโรคระยะแฝงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ คณะนักวิจัยจึงหันมาพัฒนาเทคโนโลยีรามานสเปกโตรสโคปีและ SERS (Surface-Enhanced Raman Spectroscopy) ซึ่งจากการศึกษานำร่องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งด้วยความไวและความจำเพาะสูงถึงร้อยละแปดสิบเจ็ดถึงหนึ่งร้อย พร้อมทั้งใช้เวลาในการตรวจสั้นและมีต้นทุนต่ำ ทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เผชิญกับปัญหาวัณโรคอย่างหนัก

ความร่วมมือในโครงการนี้สะท้อนถึงการบูรณาการที่แข็งแกร่งระหว่างสถาบันการศึกษาและเครือข่ายสาธารณสุข โดยมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์เป็นศูนย์กลางการประสานงาน พร้อมด้วยเครือข่ายโรงพยาบาลสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาสารคาม โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ โรงพยาบาลชุมแพ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น เขต ๗ การร่วมมือกันอย่างเป็นระบบนี้ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายประการ ทั้งในด้านการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน และการสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา

วัตถุประสงค์หลักของโครงการมุ่งเน้นไปที่การยืนยันประสิทธิภาพของเทคโนโลยีรามานสเปกโตรสโคปีในการแยกแยะระหว่างวัณโรคที่แสดงอาการ (Active Tuberculosis) และวัณโรคระยะแฝง (Latent Tuberculosis Infection) โดยดำเนินการทดสอบในกลุ่มประชากรไม่น้อยกว่าสี่พันราย ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องตรวจแบบพกพาที่เชื่อมต่อกับระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ โครงการยังศึกษาศักยภาพในการตรวจจากตัวอย่างชีวภาพอื่นๆ เช่น น้ำลายและปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดความรุกรานต่อผู้ป่วยอย่างมาก

ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการได้รับการกำหนดไว้อย่างชัดเจนและมีความท้าทาย โดยเป้าหมายคือการบรรลุความไวและความจำเพาะในการตรวจไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบ ขณะเดียวกันต้องสามารถให้ผลการตรวจได้ภายในเวลาไม่เกินสามชั่วโมงต่อราย ซึ่งรวดเร็วกว่าวิธีการดั้งเดิมอย่างมาก โครงการมุ่งหวังที่จะสร้างฐานข้อมูลโปรไฟล์ไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นรายการ และพัฒนาเครื่องตรวจแบบพกพาต้นแบบหนึ่งเครื่องที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงในสนาม

วิธีการดำเนินงานของโครงการได้รับการออกแบบอย่างเป็นระบบและครอบคลุม เริ่มต้นจากการเก็บและสุ่มตัวอย่างจากกลุ่มประชากรไม่น้อยกว่าสี่พันราย ซึ่งประกอบด้วยผู้ป่วยวัณโรคที่แสดงอาการ ผู้ที่มีวัณโรคระยะแฝง และกลุ่มควบคุม จากนั้นจึงนำตัวอย่างมาเตรียมและวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีรามานสเปกโตรสโคปีทั้งแบบตั้งโต๊ะและแบบพกพา ข้อมูลที่ได้จะถูกเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ผลอย่างแม่นยำ และในขั้นตอนสุดท้าย จะมีการทดลองใช้เครื่องตรวจในภาคสนามและเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับวิธีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ผลกระทบที่คาดหวังจากโครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ การได้เครื่องมือใหม่ที่รวดเร็วกว่า มีต้นทุนต่ำกว่า และมีศักยภาพในการตรวจเชิงรุกในชุมชนจะช่วยเพิ่มอัตราการตรวจพบผู้ป่วยจากร้อยละห้าสิบเก้าในปัจจุบันไปสู่เป้าหมายไม่ต่ำกว่าร้อยละแปดสิบ การเพิ่มขึ้นของอัตราการตรวจพบนี้จะส่งผลโดยตรงต่อการลดการแพร่กระจายของเชื้อและการสูญเสียชีวิต โครงการนี้ยังสนับสนุนยุทธศาสตร์ End TB ทั้งของประเทศไทยและองค์การอนามัยโลก พร้อมทั้งสร้างฐานข้อมูลและองค์ความรู้ที่สามารถต่อยอดได้ทั้งในด้านการแพทย์และอุตสาหกรรม

ที่สำคัญที่สุด โครงการนี้เสริมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนผ่านการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการตรวจและการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยไม่ต้องเดินทางไกลหรือรอคอยนาน ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สะท้อนถึงพันธกิจของมหาวิทยาลัยขอนแก่นในการใช้ความรู้และนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริงและยั่งยืน

ลิงก์ข่าว, เพจ Facebook หรือสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง https://rceid.kku.ac.th/applications-of-raman-spectroscopy-technology-for-tuberculosis-screening-in-communities-and-hospital-network-in-north-east-thailand/

ผู้ให้ข้อมูลติดต่อกลับ โชติมา โพธิทรัพย์/0804945464/ Chotima29@gmail.com/ศูนย์วิจัยและบริการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อระบาดใหม่

SDGs3
Scroll to Top