โครงการบริการวิชาการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทางกฎหมาย ภูมิปัญญาท้องถิ่น นิติประเพณี และความรับผิดชอบสู่ชุมชน: การท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วม กรณีบ้านพองหนีบ อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย
ในหุบเขาอันเงียบสงบของบ้านพองหนีบ ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน เมื่อช้างป่าจากอุทยานแห่งชาติภูกระดึงเข้ามาหากินในพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและความเป็นอยู่ของชุมชน ขณะเดียวกัน ชุมชนแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่หากได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมจะสามารถสร้างรายได้และความยั่งยืนให้กับชุมชนได้
จากความตระหนักในปัญหาและโอกาสดังกล่าว คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้ริเริ่มโครงการบริการวิชาการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทางกฎหมาย ภูมิปัญญาท้องถิ่น นิติประเพณี และความรับผิดชอบสู่ชุมชน โดยมุ่งเน้นการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมเป็นแกนหลัก ในช่วงวันที่ 24-26 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือข้ามภาคส่วน โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่หลากหลาย ตั้งแต่อำเภอภูกระดึง องค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐาน สมาคมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสถาบันการศึกษาอื่นๆ เช่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมถึงมูลนิธิต่างๆ และสื่อมวลชนอย่าง Thai PBS ภาคอีสาน การรวมตัวของภาคีเครือข่ายกว่า 16 หน่วยงานนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและความซับซ้อนของปัญหาที่ต้องการการแก้ไขแบบบูรณาการ

หัวใจสำคัญของโครงการคือการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติและการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ผ่านกิจกรรมที่หลากหลายและเชื่อมโยงกัน เริ่มต้นด้วยกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้ทางกฎหมายและภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งช่วยให้ชุมชนเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนในการจัดการปัญหาช้างป่า ตลอดจนการเข้าถึงมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม
จุดเด่นของโครงการอยู่ที่การจัดเวทีเสวนา “คน ช้าง ป่า ภูกระดึง อยู่ร่วมกัน” ซึ่งเป็นพื้นที่กลางที่ทุกภาคส่วนสามารถมาแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ และหาทางออกร่วมกัน การสร้างชุมชนนักกฎหมายและเครือข่ายภาคประชาสังคมในลักษณะนี้ ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านสังคมสงบสุข ยุติธรรม และไม่แบ่งแยก โดยส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหา โครงการยังมุ่งเน้นการสร้างโอกาสใหม่ผ่านการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศต้นน้ำพองไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจถึงความสำคัญของระบบนิเวศ แต่ยังเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน การจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตระดมทุนและผ้าป่าระดมทุนเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจ โดยผสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับการระดมทุนเพื่อการพัฒนา การดำเนินการในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษาที่มีคุณภาพ ผ่านการถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คนรุ่นใหม่

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้มีความหลากหลายและครอบคลุมหลายมิติ ในด้านเศรษฐกิจ ชุมชนสามารถสร้างรายได้เข้ากองทุนจำนวน 50,000 บาท เพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการปัญหาช้างป่าในพื้นที่ การมีกองทุนชุมชนนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ชุมชนมีความพร้อมในการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้าน และผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ยังได้รับรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการจัดกิจกรรม ผ่านการให้บริการที่พัก การขายผลิตภัณฑ์ชุมชน และการให้บริการต่างๆ
ในมิติของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โครงการได้สร้างความตระหนักให้กับผู้เข้าร่วมทั้ง 200 คนเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์ระบบนิเวศต้นน้ำพอง การฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่สีเขียว และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ความสำเร็จของโครงการนี้ยังอยู่ที่การสร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน ชุมชนไม่เพียงแต่ได้รับความรู้ทางกฎหมายและสิทธิในการเยียวยา แต่ยังได้แนวทางในการจัดการปัญหาช้างป่าที่เน้นความร่วมมือระหว่างชุมชนกับอุทยานแห่งชาติภูกระดึง การสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในลักษณะนี้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชนผ่านการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ช่วยให้ชุมชนมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับศักยภาพและข้อจำกัดของตนเอง นำไปสู่การวางแผนการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนท้องถิ่น
โครงการบ้านพองหนีบแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการความรู้ทางวิชาการกับภูมิปัญญาท้องถิ่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือข้ามภาคส่วน และการพัฒนาที่ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยชุมชนมีความพร้อมทั้งในด้านความรู้ ทักษะ ทุน และเครือข่ายในการขับเคลื่อนการพัฒนาต่อไปความสำเร็จของโครงการนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชน ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม ผ่านการนำความรู้และทรัพยากรไปใช้เพื่อประโยชน์ของชุมชนและสิ่งแวดล้อม บทเรียนจากบ้านพองหนีบจึงเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกคน
ลิงก์ข่าว, เพจ Facebook หรือสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง https://www.facebook.com/100057568085219/posts/1082779813650945/?rdid=HC37u5Yac056hr4j#
ผู้ให้ข้อมูลติดต่อกลับ นางสาวภัทรา วรลักษณ์ โทร 088-5136681 Line kataiworalak คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น