ความร่วมมือเพื่อแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Collaboration for SDG best practice

โครงการแก้ไขปัญหามะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma Screening and Care Program – CASCAP)

มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความร่วมมือเพื่อแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ SDGs  ไม่ว่าจะเป็นการทบทวนแนวทางเชิงเปรียบเทียบ(Benchmarking) และพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับสากลเกี่ยวกับการจัดการกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) (Synthesizing Best Practices) ผ่านความร่วมมือและการวิจัยระหว่างประเทศ ผ่านโครงการแก้ไขปัญหามะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma Screening and Care Program – CASCAP)  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.)  สร้างความร่วมมือกับสถาบันในต่างประเทศในปี 2568 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และองค์ความรู้ด้านการรักษามะเร็งท่อน้ำดี  ดังนี้

การเป็นศูนย์กลางระดับโลก (Global Hub): ผลักดันให้ มข. เป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการวิจัย การวินิจฉัย และการรักษามะเร็งท่อน้ำดีของโลก

การขยายเครือข่ายวิจัย: สร้างเครือข่ายวิจัยระดับนานาชาติที่แข็งแกร่ง เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

การถ่ายทอดองค์ความรู้: นำโมเดล “ขอนแก่นโมเดล” ซึ่งประสบความสำเร็จในการคัดกรองและดูแลผู้ป่วยในประเทศไทย ไปประยุกต์ใช้ในประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน

ความร่วมมือกับองค์กรระดับนานาชาติ

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute – NCI)

ด้านการวิจัยจีโนมิกส์ (Genomics): ร่วมมือในการถอดรหัสพันธุกรรมของมะเร็งท่อน้ำดีในประชากรกลุ่มเสี่ยงของไทย เพื่อค้นหายีนกลายพันธุ์ที่เป็นเป้าหมายในการพัฒนายามุ่งเป้า (Targeted Therapy)

ด้านการพัฒนายาใหม่: ร่วมมือในโครงการวิจัยทางคลินิกระยะต่างๆ (Clinical Trials) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของยาใหม่ๆ ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี

ทุนวิจัย: เป็นแหล่งทุนสนับสนุนที่สำคัญสำหรับโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health – NIH)

การวิจัยเชิงระบาดวิทยา: ร่วมมือศึกษาระบาดวิทยาและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งท่อน้ำดีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับการป้องกันโรค

Imperial College London, สหราชอาณาจักร

ด้านการวินิจฉัยด้วยภาพ (Imaging): เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการพัฒนาเทคโนโลยีการวินิจฉัย เช่น การใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ช่วยอ่านผลอัลตราซาวนด์และ MRI เพื่อเพิ่มความแม่นยำและรวดเร็วในการตรวจคัดกรอง

ด้านศัลยกรรม: แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคนิคการผ่าตัดที่ซับซ้อน เช่น การผ่าตัดตับและท่อน้ำดีด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery)

สถาบันมะเร็ง Gustave Roussy, ฝรั่งเศส

ด้านพยาธิวิทยา (Pathology): ร่วมมือในการจำแนกชนิดของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในระดับโมเลกุล (Molecular Classification) เพื่อนำไปสู่การรักษาที่จำเพาะเจาะจงกับผู้ป่วยแต่ละราย (Personalized Medicine)

ฐานข้อมูลผู้ป่วย: แลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วย (โดยไม่ระบุตัวตน) เพื่อวิเคราะห์ผลการรักษาและพยากรณ์โรคในประชากรที่หลากหลาย

มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย (เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน)

ด้านการรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care): เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีประสบการณ์สูงในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย จึงมีความร่วมมือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในประเทศไทย

ด้านเทคโนโลยีการส่องกล้อง: แลกเปลี่ยนนวัตกรรมด้านการส่องกล้องตรวจและรักษาท่อทางเดินน้ำดี (ERCP)

ความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม)

การถ่ายทอดโมเดล: ปี 2568 จะเป็นปีที่ขยายผล “ขอนแก่นโมเดล” อย่างเป็นรูปธรรม โดย มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ในการสร้างระบบการคัดกรองและดูแลผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีปัญหาพยาธิใบไม้ตับคล้ายคลึงกับภาคอีสานของไทย ปี 2568 จะเป็นปีที่โครงการมะเร็งท่อน้ำดีของคณะแพทยศาสตร์

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแก้ปัญหาในระดับประเทศ แต่จะก้าวไปสู่การเป็น ผู้นำระดับโลก ในด้านนี้อย่างเต็มตัว ความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำในต่างประเทศจะเน้นหนักไปที่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมขั้นสูง เช่น จีโนมิกส์, AI, และยามุ่งเป้า ควบคู่ไปกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สั่งสมมาเพื่อช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน สร้างประโยชน์ในระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป

ผลการดำเนินงานสำคัญจากท้องถิ่นสู่ระดับโลก

กว่า 10 ปีที่ “โรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี” ถูกจัดให้เป็นปัญหาสาธารณสุขเร่งด่วนของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้สูงที่สุดในประเทศ ด้วยความรุนแรงของโรคที่ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิต เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงได้ลุกขึ้นมารับบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ ภายใต้โครงการ “การแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี” (Cholangiocarcinoma Screening and Care Program: CASCAP)

โครงการนี้ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี และศูนย์ความเป็นเลิศมะเร็งท่อน้ำดี โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงสูงกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ มุ่งหวังให้คนไทย “ปลอดพยาธิใบไม้ตับ และห่างไกลมะเร็งท่อน้ำดี” อย่างยั่งยืน ตามแนวทาง เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อที่ 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ผลงานวิจัยจากห้องแล็บ สู่การแก้ปัญหาในชุมชน

ในช่วงเริ่มต้น ทีมวิจัยได้ศึกษาสาเหตุและวงจรชีวิตของพยาธิใบไม้ตับ เพื่อพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมด้านการตรวจและรักษาที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน เช่น ชุดตรวจแอนติเจนพยาธิใบไม้ตับแบบรวดเร็ว (OV-ATK) ที่ตรวจจากปัสสาวะได้ง่ายและรวดเร็ว รวมถึง ระบบคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ ระบบปรึกษาทางไกล Teleconsultation ultrasonography เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการตรวจและรักษาได้ทันท่วงที

โครงการยังพัฒนา ฐานข้อมูล “Isan Cohort” เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพของประชากรกลุ่มเสี่ยง นำไปใช้วางแผนเชิงนโยบายและติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นระบบ ถือเป็นโมเดลสำคัญที่ช่วยให้ “ข้อมูลสุขภาพ” กลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนานโยบายสาธารณสุขระดับประเทศ

บูรณาการพลังทุกภาคส่วน สู่สุขภาพที่ยั่งยืน

CASCAP ไม่ได้เป็นเพียงโครงการวิจัย แต่คือ “ขบวนการขับเคลื่อนสุขภาพชุมชน” ที่เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อาทิ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), กระทรวงมหาดไทย, สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส), ธนาคารไทยพาณิชย์, บริษัท ซีพี ออลล์ และ มูลนิธิมะเร็งท่อน้ำดี เป็นต้น

ด้วยการบูรณาการดังกล่าว ทำให้ชุดตรวจ OV-ATK ได้รับการบรรจุเป็น สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรีทั่วประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ตามเจตนารมณ์ของ SDG 3 อย่างแท้จริง

ผลลัพธ์แห่งความเปลี่ยนแปลง 

ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษของการดำเนินงาน CASCAP ได้สร้างผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความยั่งยืนทั้งในระดับบุคคลและสังคม

  1. ลดอัตราการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ จาก 42% เหลือเพียง 7.7%
  2. เพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยหลังผ่าตัด จาก 17.3% เป็น 53.3%
  3. ประชาชนกลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรองมากกว่า 2 ล้านครั้ง
  4. ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศ กว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ หลักสูตร “ภูมิคุ้มกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี” เพื่อปลูกฝังความรู้เรื่องสุขภาพให้กับเยาวชนในโรงเรียนกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบจัดการสิ่งปฏิกูลที่ถูกสุขลักษณะ เพื่อยุติวงจรการแพร่ระบาดของพยาธิในสิ่งแวดล้อม

ต้นแบบของการเปลี่ยนแปลงเพื่อชีวิต

จากการวิจัยในห้องแล็บ สู่การลงมือปฏิบัติในชุมชน และผลักดันสู่นโยบายระดับชาติ โครงการ CASCAP ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “การบูรณาการองค์ความรู้กับความร่วมมือ” สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ และยั่งยืนได้จริง ทั้งในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม

SDGs17
Scroll to Top