เกษตรอัจฉริยะด้วยปัญญาประดิษฐ์ หนทางสู่การเกษตรยั่งยืนแห่งอนาคต (Smart farming using AI)
โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร และความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตของประชากรโลก คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การเกษตรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จึงได้จัดดำเนินโครงการ “เกษตรอัจฉริยะด้วยปัญญาประดิษฐ์” ขึ้นในวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00-16.00 น. ณ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับภาคเกษตรไทยสู่ความทันสมัยและยั่งยืน
โครงการนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงปัญหาสำคัญหลายประการที่ภาคเกษตรไทยกำลังเผชิญ ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานเกษตรกรรมที่เกิดจากการอพยพของคนรุ่นใหม่ไปทำงานในเมือง ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และความต้องการในการเพิ่มผลผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาเหล่านี้ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคเกษตร

โครงการ “เกษตรอัจฉริยะด้วยปัญญาประดิษฐ์” สะท้อนถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายข้ออย่างชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายข้อที่ 1 ด้านการขจัดความยากจนผ่านโครงการอบรมอาชีพเสริมและทักษะดิจิทัลให้นักศึกษา ซึ่งช่วยสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพที่มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน เป้าหมายข้อที่ 4 ด้านการศึกษาที่มีคุณภาพผ่านการจัดกิจกรรมและอบรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และเป้าหมายข้อที่ 6 ด้านน้ำสะอาดและสุขาภิบาลผ่านนโยบายและโครงการการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่
รูปแบบการดำเนินงานของโครงการได้รับการออกแบบอย่างครอบคลุมและเป็นระบบ โดยมีเนื้อหาการอบรมที่หลากหลายและทันสมัย เริ่มจากบทนำและประเภทของปัญญาประดิษฐ์ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจพื้นฐานและแนวคิดของเทคโนโลยี AI ตลอดจนการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบอัจฉริยะ นอกจากนี้ยังมีการสอนเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในการเกษตรอัจฉริยะ การใช้งานระบบ Internet of Things (IoT) ร่วมกับ AI เพื่อการจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ และการฝึกปฏิบัติระบบชลประทานอัจฉริยะด้วยปัญญาประดิษฐ์
ความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่การผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติจริง โดยเฉพาะการฝึกปฏิบัติระบบชลประทานอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีในการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียน้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในการเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้มีความน่าประทับใจและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างชัดเจน โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 52 คน ประกอบด้วยนักวิชาการเกษตร ผู้ประกอบการ และเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและครอบคลุมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตร ที่สำคัญคือร้อยละ 90 ของผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมดสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปใช้ต่อในการปฏิบัติงานจริง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการถ่ายทอดความรู้และความเหมาะสมของเนื้อหาที่นำเสนอ
ผลกระทบของโครงการนี้มีมิติที่กว้างไกลและสร้างความยั่งยืนในหลายระดับ ในระดับบุคคล เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้และทักษะใหม่ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการลดการใช้แรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการดำเนินงาน ในระดับชุมชน การที่นักวิชาการเกษตรสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังเกษตรกรได้ ทำให้เกิดการแพร่กระจายความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชนเกษตรกรรมในวงกว้าง

ในระดับสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยี AI และ IoT ในการจัดการฟาร์มช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จำเป็น โดยเฉพาะการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบชลประทานอัจฉริยะ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดน้ำแต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้สารเคมีเกษตรที่ไม่จำเป็น การใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพพืชและดินยังช่วยให้การใช้ปุ่ยและยาฆ่าแมลงมีความแม่นยำมากขึ้น ลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
ในระดับเศรษฐกิจ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตรช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลผลิตทางการเกษตรไทยในตลาดโลก สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต และเปิดโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตร
โครงการ “เกษตรอัจฉริยะด้วยปัญญาประดิษฐ์” จึงไม่เพียงแต่เป็นการอบรมให้ความรู้เท่านั้น แต่เป็นการปูทางสู่การปฏิวัติการเกษตรไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล การสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืน โครงการนี้จึงเป็นต้นแบบสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยสู่ความทันสมัยและการพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21
ลิงก์ข่าว, เพจ Facebook หรือสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง https://www.facebook.com/share/p/1CZF7ow3US/
ผู้ให้ข้อมูลติดต่อกลับ นางพจมาลย์ ธำรงยศวิทยากุล /093-563-5424