โรงงานแบตเตอรี่ มข. KKUVolts จับมือ เอสโก้ คอร์เปอเรชั่น ผนึกกำลังพัฒนา BESS และ Inverter พร้อมระบบบริหารจัดการพลังงานโดยคนไทย ยกระดับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด สู่เป้าหมาย Net Zero
ไทยกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดโดยคนไทยจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสร้างความมั่นคงทางพลังงานแบบยั่งยืน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 ณ โรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เกิดขึ้นซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดไทย
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กับบริษัท เอสโก้ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เป็นการบูรณาการความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) และอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์พร้อมระบบบริหารจัดการพลังงาน (SEMPLY) ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการผลักดันการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดที่พัฒนาโดยคนไทยสู่เชิงพาณิชย์ และสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทยที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันในระดับสากล
ภายใต้ความร่วมมือนี้ โรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะหน่วยงานวิสาหกิจที่พัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ภายใต้แบรนด์ kkUVolts จะรับผิดชอบในการพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและโซเดียมไอออนพร้อมระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่เพื่อใช้เป็น BESS สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ โดยระบบที่พัฒนาขึ้นจะมีระบบ IoT Monitoring ที่ทันสมัยและได้รับการรับรองตามมาตรฐานอุตสาหกรรมสากล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามและควบคุมการทำงานของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกัน เอสโก้ คอร์เปอเรชั่น จะสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ควบคู่ระบบบริหารจัดการพลังงาน (SEMPLY) รวมถึงการให้การสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถทดสอบและประเมินประสิทธิภาพของระบบร่วมกันในสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง การผสานจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายจะนำไปสู่การพัฒนา Total Energy Solution ที่ครอบคลุมตั้งแต่แบตเตอรี่จนถึงระบบควบคุมพลังงาน (Power Electronics) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบพลังงานสะอาดยุคใหม่
รองศาสตราจารย์ ดร.นงลักษณ์ มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของไทยแบบครบวงจร ตั้งแต่แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบควบคุมและจัดการพลังงาน โดยมุ่งหวังให้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยสามารถตอบโจทย์การใช้งานจริงได้ในระดับอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาการนำเข้า และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ
คุณวิชิต พลสูงเนิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสโก้ คอร์เปอเรชั่น ได้แสดงความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์และระบบบริหารจัดการพลังงาน (SEMPLY) โดยฝีมือวิศวกรไทย เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับระบบแบตเตอรี่ของ kkUVolts ให้เกิดเป็นโซลูชันพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
การลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสมัยใหม่ที่พัฒนาโดยคนไทยให้แพร่หลายมากขึ้น พร้อมทั้งสร้างการรับรู้และระบบนิเวศของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และพลังงานที่ขับเคลื่อนโดยคนไทย ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ ลดต้นทุนการผลิต และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการจ้างงาน การใช้วัตถุดิบในประเทศ และการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่บุคลากรไทย
ผลกระทบเชิงบวกจากความร่วมมือนี้จะขยายออกไปสู่ชุมชนและสังคมในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งระบบ BESS ที่พัฒนาขึ้นสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เฉลี่ยกว่า 1.2 ตัน CO₂ ต่อครัวเรือนต่อปี การลดลงของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้เกิดจากการใช้พลังงานทดแทนร่วมกับระบบจัดเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเผลิตฟอสซิลและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในครัวเรือนและอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังจะสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ในสาขาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา การผลิต การติดตั้ง และการบำรุงรักษาระบบ BESS และอินเวอร์เตอร์ การพัฒนาบุคลากรไทยให้มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
กิจกรรมสำคัญนี้สะท้อนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลายมิติอย่างเป็นรูปธรรม ในด้านพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ การพัฒนาระบบ BESS และอินเวอร์เตอร์ช่วยสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน การลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ในด้านอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนานวัตกรรมเชิงพาณิชย์และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และในด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมการใช้พลังงานคาร์บอนต่ำและความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเป็นส่วนสำคัญในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก
ความสำเร็จของการลงนามความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศพลังงานสะอาดที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย และเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาประเทศไทยสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืนและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ลิงก์ข่าว, เพจ Facebook หรือสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง https://www.facebook.com/photo?fbid=1607506363846343&set=a.664772244786431
ผู้ให้ข้อมูลติดต่อกลับ ดร.ยุทธนากร คณะพันธ์ 0942753941
