การมีส่วนร่วมในการจัดทำนโยบายทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ประเทศ และนานาชาติ
มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องกับความยากจนในหลายระดับของรัฐบาล ผ่านความร่วมมือด้านการวิจัย บทบาทที่ปรึกษาทางเทคนิค และการสนับสนุนการดำเนินงาน รายงานนี้บันทึกการมีส่วนร่วมที่เป็นรูปธรรมของ มข. ต่อนโยบายที่จัดการกับความยากจนในทุกมิติ ในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ระดับชาติ และระหว่างประเทศ ในปี 2568 ดังนี้
การมีส่วนร่วมด้านนโยบายระดับท้องถิ่น
นโยบายการจัดการดินเทศบาลตำบลบ้านค้อ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อฟื้นฟูที่ดินการเกษตรและการจัดการคุณภาพดินโดยคณะคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
การดำเนินการ ดำเนินการวิจัยประยุกต์เกี่ยวกับสภาพดินเปรี้ยวที่ส่งผลต่อการเพาะปลูกมันสำปะหลัง พัฒนาสูตรปรับปรุงดินด้วยถ่านชีวภาพโดยใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น (ผงถ่าน ปุ๋ยคอก จุลินทรีย์พื้นเมือง) ตรวจสอบอัตราส่วนที่เหมาะสมผ่านการทดลองภาคสนามกับครัวเรือนเกษตรกร 5 ครัวเรือน
การพัฒนานโยบาย ให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับการปรับปรุงนโยบายการจัดการที่ดินของเทศบาลร่วมพัฒนาแนวทางการดำเนินงานกับเจ้าหน้าที่เทศบาล เสนอแนะลำดับความสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรสำหรับโปรแกรมการฟื้นฟูดิน
การสนับสนุนการดำเนินงาน 1) ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรของเทศบาลเกี่ยวกับเทคนิคการฟื้นฟูดิน 2) จัดตั้งแปลงสาธิต 2 แห่ง เป็นแบบจำลองการดำเนินนโยบาย 3) สร้างคู่มือที่ครอบคลุมสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังชุมชนอื่น
ผลลัพธ์ของนโยบาย 1) เทศบาลนำเรื่องการฟื้นฟูดินมาเป็นลำดับความสำคัญในการพัฒนาการเกษตร
2) บูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาท้องถิ่นและการจัดสรรงบประมาณ
3) สร้างกรอบนโยบายสำหรับการติดตามและปรับปรุงคุณภาพดินอย่างเป็นระบบ
นโยบายการเกษตรและสิ่งแวดล้อมองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกง (การอนุรักษ์ผึ้งพื้นเมือง)
คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่งเสริมนโยบายท้องถิ่นโดยการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนผ่านโครงการเกี่ยวกับการจัดการผึ้งพื้นเมือง โดยดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดการผึ้งพื้นเมือง (Apis cerana, ผึ้งไม่มีเหล็กไน)และพัฒนาโมเดลการดำเนินงานธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพชุมชน และฝึกอบรมครัวเรือนเกษตรกร 15 ครัวเรือนในเทคนิคการเพาะปลูกที่ได้รับการตรวจสอบ
การให้คำปรึกษาด้านนโยบาย 1) ให้คำแนะนำทางเทคนิคสำหรับนโยบายการอนุรักษ์การเกษตรของตำบล 2) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบูรณาการการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับการวางแผนพัฒนาท้องถิ่น 3) ออกแบบกรอบการกำกับดูแลสำหรับธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพชุมชน
การสนับสนุนและสร้างขีดความสามารถ 1) ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
2)เสริมความรู้ทางเทคนิคให้ผู้นำชุมชนสำหรับการดำเนินนโยบาย
3) สร้างระบบการถ่ายทอดความรู้แบบเพื่อนสู่เพื่อน
ผลลัพธ์ของนโยบาย อนุมัติการจัดสรรทรัพยากรสำหรับโปรแกรมสนับสนุนการเลี้ยงผึ้งและจัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแลธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพชุมชน
การมีส่วนร่วมด้านนโยบายระดับภูมิภาค
มหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมกับกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชูนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนแบบยั่งยืนโดยการยกระดับวงการเลี้ยงจิ้งหรีดให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนนวัตกรรมเลี้ยงจิ้งหรีด ยกระดับรายได้เกษตรกรทั่วทั้งภูมิภาคอีสาน
สถาบันยุทธศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ริเริ่มโครงการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับวงการเลี้ยงจิ้งหรีดในภาคอีสานอย่างยั่งยืน โดยเปลี่ยนจาก “ฟาร์มจิ้งหรีดเชิงพาณิชย์” ให้กลายเป็น “ศูนย์การเรียนรู้จิ้งหรีด” ที่ครบวงจรและเป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรทั่วทั้งภูมิภาค
จุดเริ่มต้นของปัญหา เกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ต้นทุนสูงจากค่าอาหารจิ้งหรีดมีราคาสูง ทำให้กำไรน้อยลง ขาดความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้องในการเลี้ยง ทำให้ผลผลิตไม่แน่นอน และเสี่ยงต่อการเกิดโรค และ ขาดการเชื่อมโยงกับตลาดที่มั่นคง ทำให้ราคาขายผันผวนและถูกกดราคา
มาตรฐานต่ำ: การเลี้ยงแบบดั้งเดิมทำให้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐานสากล (GAP) ส่งผลต่อโอกาสในการส่งออก
การขับเคลื่อนนโยบายและนวัตกรรมเพื่อการเติบโต 1) สร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Model Farm): จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้จิ้งหรีด” ขึ้นภายในอุทยานทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นฟาร์มต้นแบบที่สาธิตการเลี้ยงจิ้งหรีดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ทำให้เกษตรกรสามารถเข้ามาศึกษาดูงานและเรียนรู้ได้จริง
2) พัฒนานวัตกรรมลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ วิจัยอาหารจิ้งหรีดสูตรใหม่: คิดค้นสูตรอาหารที่มีต้นทุนต่ำลงแต่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้จิ้งหรีดเติบโตดีและลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกร พัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Farm): นำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) มาใช้ควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือน เช่น อุณหภูมิและความชื้น ผ่านระบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แรงงาน เพิ่มอัตราการรอด และทำให้ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ
3)ยกระดับสู่มาตรฐานสากล ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงฟาร์มของตนเองเพื่อให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ
4) สร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงตลาด สนับสนุนให้เกษตรกรสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองและแลกเปลี่ยนความรู้ เชื่อมโยงผู้ประกอบการโดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการที่ต้องการรับซื้อผลผลิตจิ้งหรีดไปแปรรูป สร้างตลาดที่มั่นคงและราคาที่เป็นธรรม
5) แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากจิ้งหรีด เช่น โปรตีนผง, ขนมขบเคี้ยว หรืออาหารแห่งอนาคต เพื่อขยายตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต
ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน 1) โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างความแข็งแกร่งให้กับวงการจิ้งหรีดในระยะยาว นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและมั่นคงโดยเกษตรกรมีต้นทุนที่ลดลงและมีตลาดรองรับที่แน่นอน ทำให้มีรายได้สูงขึ้น
เกิดอาชีพที่ยั่งยืนจากการเลี้ยงจิ้งหรีดกลายเป็นอาชีพทางเลือกที่สร้างรายได้หลักให้กับหลายครัวเรือนในภาคอีสาน
2) ยกระดับสู่สากล จิ้งหรีดไทยมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สร้างโอกาสในการส่งออกและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
3) ความมั่นคงทางอาหารส่งเสริมให้จิ้งหรีดเป็นแหล่งโปรตีนแห่งอนาคต ตอบโจทย์ความต้องการอาหารของโลก
การพัฒนาภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ผ่านการกำหนดนโยบายแก้ปัญหาภัยพิบัติของอีสาน
วันที่ 24 เมษายน 2568 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย (Thai Network for Disaster Resilience : TNDR) เป็นเจ้าภาพ จัดประชุมเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ามกลางเครือข่าย 10 มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่เข้าร่วมระดมสมองประเมินความเสี่ยงและวางแนวทางการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต
มหาวิทยาลัยขอนแก่นให้บริการประชากร 20 ล้านคนในภูมิภาคที่ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจที่สุดของไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อจัดการกับปัจจัยที่ขับเคลื่อนความยากจนที่เฉพาะเจาะจงของภูมิภาค เช่น ภัยพิบัติ ภัยแล้ง ดินเสื่อมโทรม การเข้าถึงตลาดที่จำกัด
ดร.สุทัศน์ วีสกุล รองประธานเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติ ที่ระบุว่า การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาคปฏิบัติและภาควิชาการ ในการสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติในภาคอีสาน โดยการนำองค์ความรู้จากภาควิชาการมาบูรณาการกับการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ และการพัฒนาบุคลากรผ่านการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกุญแจสำคัญในการหาแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และสร้างความปลอดภัยและความยั่งยืนให้กับภูมิภาคนี้
มีตัวแทนเครือข่ายจากองค์กรจากทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมกว่า 10 หน่วยงาน พร้อมกับตัวแทนเครือข่ายนักวิชาการจาก 10 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยขอนแก่น
การทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค 1) ให้ความเชี่ยวชาญแก่รัฐบาลจังหวัดทั่วอีสานในการวางแผนพัฒนา 2) เข้าร่วมการประชุมประสานงานหลายจังหวัดเกี่ยวกับการลดความยากจน 2) ดำรงตำแหน่งในคณะทำงานด้านเทคนิคสำหรับกลยุทธ์การพัฒนาระดับภูมิภาค
การสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติในการแก้ปัญหาภูมิภาคอีสาน 1) จัดทำเอกสารสรุปนโยบายเกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนาการเกษตรสำหรับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
2)พัฒนาคำแนะนำสำหรับการสร้างความหลากหลายของการดำรงชีพในชนบท
3) สร้างกรอบสำหรับการเปลี่ยนผ่านการเกษตรแบบยั่งยืนในภูมิภาค
การบูรณาการนโยบาย 1) ผลการวิจัยถูกอ้างอิงในแผนพัฒนาระดับภูมิภาคและแนะนำทางเทคนิคถูกบรรจุเข้าในกลยุทธ์ระดับจังหวัด
2) ความเชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับเป็นทรัพยากรสำหรับการพัฒนานโยบายระดับภูมิภาค
การทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค 1) ให้ความเชี่ยวชาญแก่รัฐบาลจังหวัดทั่วอีสานในการวางแผนพัฒนา 2) เข้าร่วมการประชุมประสานงานหลายจังหวัดเกี่ยวกับการลดความยากจน 2) ดำรงตำแหน่งในคณะทำงานด้านเทคนิคสำหรับกลยุทธ์การพัฒนาระดับภูมิภาค
การสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติในการแก้ปัญหาภูมิภาคอีสาน 1) จัดทำเอกสารสรุปนโยบายเกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนาการเกษตรสำหรับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
2)พัฒนาคำแนะนำสำหรับการสร้างความหลากหลายของการดำรงชีพในชนบท
3) สร้างกรอบสำหรับการเปลี่ยนผ่านการเกษตรแบบยั่งยืนในภูมิภาค
การบูรณาการนโยบาย 1) ผลการวิจัยถูกอ้างอิงในแผนพัฒนาระดับภูมิภาคและแนะนำทางเทคนิคถูกบรรจุเข้าในกลยุทธ์ระดับจังหวัด
2) ความเชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับเป็นทรัพยากรสำหรับการพัฒนานโยบายระดับภูมิภาค
การมีส่วนร่วมด้านนโยบายระดับชาติ
ความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO)
คณะเกษตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) พัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ โมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน เกษตรกรรมยั่งยืน วิสาหกิจชุมชน
การให้คำปรึกษาด้านนโยบาย
ให้คำแนะนำทางเทคนิคเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพในระดับชุมชน
เสนอแนะโครงสร้างการกำกับดูแลสำหรับระบบธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพ
ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบูรณาการความรู้ดั้งเดิมกับแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพสมัยใหม่
การสร้างขีดความสามารถ
1)ส่งมอบโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับการขยายนโยบายระดับชาติไปยังผู้ดำเนินงานท้องถิ่น
2) เสริมทักษะทางเทคนิคให้เจ้าหน้าที่รัฐสำหรับการจัดการโปรแกรมเศรษฐกิจชีวภาพ
3) สร้างสื่อการฝึกอบรมและหลักสูตรสำหรับการเผยแพร่ทั่วประเทศ
ผลกระทบต่อนโยบาย
1) การวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นถูกบูรณาการเข้าในกลยุทธ์เศรษฐกิจชีวภาพระดับชาติ
2) โมเดลธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนถูกนำมาใช้สำหรับการดำเนินงานระดับชาติ
3) งบประมาณ BEDO ถูกจัดสรรสำหรับโปรแกรมระดับชุมชนที่อิงจากการสาธิตของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
3) กรอบนโยบายระดับชาติสะท้อนหลักฐานของมหาวิทยาลัยขอนแก่นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเศรษฐกิจหมุนเวียน
การมีส่วนร่วมด้านนโยบายระหว่างประเทศ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โปรแกรม GMS ของธนาคารพัฒนาเอเชีย
มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีความร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชียเพื่อยกระดับและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในกลุม GMS เพื่อมอบทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาปริญญาโทและเอกจากประเทศ GMS (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ของกลุ่มผู้เรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อให้เข้าถึงการศึกษาระดับที่สูงขึ้น สร้างความยั่งยืนในระยะยาวที่แสดงให้เห็นการมีส่วนร่วมในภูมิภาค
อิทธิพลต่อนโยบาย
1) ข้อมูลเข้าสู่กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ GMS โดยเน้นการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา
2) การมีส่วนร่วมในกรอบการทำงานความร่วมมือด้านการศึกษาสำหรับการสร้างขีดความสามารถระดับภูมิภาค
3) หลักฐานของบทบาทมหาวิทยาลัยในการลดความยากจนข้ามพรมแดน
การถ่ายทอดความรู้:
1) ความร่วมมือด้านการวิจัยที่จัดการกับความท้าทายด้านความยากจนที่ใช้ร่วมกันในระดับภูมิภาค
2) กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีสำหรับประเทศ GMS ที่มีรายได้ต่ำ • เครือข่ายศิษย์เก่าที่อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาระดับภูมิภาค: • บัณฑิตกลับไปยังประเทศต้นทางพร้อมความเชี่ยวชาญในการจัดการกับความท้าทายด้านความยากจนของชาติ • การวิจัยมักจัดการกับลำดับความสำคัญการพัฒนาที่สามารถใช้ได้ทั่ว GMS • ความร่วมมือสถาบันเสริมสร้างผ่านการเชื่อมต่อนักศึกษาและอาจารย์
มหาวิทยาลัยขอนแก่นยกระดับความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
มหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดประชุมสัมมนาเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในการส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน ผ่านการบูรณาการความรู้และการวิจัยที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อภูมิภาคอย่างแท้จริง
ในยุคโลกไร้พรมแดน ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านและการจัดการปัญหาข้ามแดนเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอย่างจุดผ่านแดนบ่อเต็น (Boten) ใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นประตูเชื่อมต่อระหว่างประเทศในภูมิภาค พื้นที่ดังกล่าวนับเป็นจุดศูนย์กลางของการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าชายแดน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การเสริมสร้างความมั่นคงและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ซึ่งล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูมิภาคด้วยตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงได้จัดการประชุม ณ เมืองมรดกโลกหลวงพระบาง สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการหลายศาสตร์ และแสวงหาแนวทางความร่วมมือเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาสำคัญระดับภูมิภาค
นายสุรพล เพชรวรา อุปนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ชี้ให้เห็นว่า “มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ Greater Mekong Subregional-GMS พื้นที่ตรงนี้จึงเป็นสปริงบอร์ดสำหรับประเทศไทยสู่กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง” “ในการเดินทางครั้งนี้ได้มีการลงนาม MOU ด้านการศึกษากับฝ่ายลาว มีคำกล่าวของประธานฝ่ายลาวที่ผมประทับใจประโยคหนึ่งที่ว่า อยากจะให้ลาว ปิ้นหน้า เบิ่งโลก หรือ หันหน้าดูโลก คือ มองข้ามพ้นจากเขตแดนลาวไป ฉะนั้นในฐานะที่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น อยากจะเห็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเปิดสู่ประสบการณ์พวกนี้ให้มากขึ้น มหาวิทยาลัยต้องทำตัวเป็นสถาบันที่ชี้นำสังคมและข้อมูลกับสังคม วิจัยที่รู้ลึก รู้จริง และรู้ชัด และนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเห็น”อุปนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวเสริม
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ให้ทัศนะสนับสนุนการร่วมประชุมครั้งนี้ว่า “การศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบันนี้ต้องเป็นการศึกษาแบบ Multi Disciplinary การที่เราได้มาพบกัน ได้ร่วมเดินทาง ไปเห็นสถานที่จริง และมองเรื่องเดียวกันจากหลากหลายมิติ เป็นสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการ” ท่านยังเสนอแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมว่า “เราเป็น University เรามีศาสตร์ต่างๆ ครบอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถทำแบบนี้ได้ เริ่มต้นจากการบริการวิชาการ ตั้งงบวิจัยก้อนเล็กๆ ลงพื้นที่เก็บข้อมูล แล้วเริ่มบริการวิชาการให้สื่อและประชาชนได้เข้าใจ โอกาสที่จะตั้งศูนย์ต่างๆ ก็จะตามมาเอง และในที่สุดเราก็จะมีทั้งความแข็งแกร่งทางวิชาการและสามารถบริการสังคมได้อย่างแท้จริง”
