การเกษตรผักลอยน้ำและโดมพลาสติกกลุ่มปลูกผักบ้านชีกกค้อ การเกษตรผักลอยน้ำและโดมพลาสติก: นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนที่บ้านชีกกค้อ

ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะรีไซเคิลและวัชพืชธรรมชาติในพื้นที่ชุ่มน้ำแก่งละว้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ริเริ่มโครงการ “การเกษตรผักลอยน้ำและโดมพลาสติกกลุ่มปลูกผักบ้านชีกกค้อ” ขึ้น เพื่อเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

โครงการนี้เป็นผลจากการร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยขอนแก่น กับสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 และวิสาหกิจชุมชนบ้านไฮ่บ้านสวน ซึ่งได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึงสิงหาคม 2568 ครอบคลุมพื้นที่ 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านชีกกค้อ ตำบลเมืองเพีย บ้านโนนละม่อม ตำบลบ้านไผ่ บ้านหัวหนอง และบ้านหนองร้านหญ้า ตำบลหัวหนอง

การดำเนินงานเริ่มต้นจากการสาธิตและทดลองปลูกผักลอยน้ำในหนองน้ำด้วย 3 รูปแบบ ได้แก่ แพไม้ไผ่ แพกล่องโฟม และแพตะกร้าพลาสติก โดยใช้วัชพืชธรรมชาติที่เคยเป็นปัญหาของชุมชน อาทิ ผักตบชวา กลีบดอกบัว และหญ้าไซ เป็นส่วนประกอบของวัสดุปลูก การดำเนินงานดังกล่าวสะท้อนถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 2 ในการขจัดความหิวโหยผ่านการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารในท้องถิ่น

เมื่อพบว่าแพผักลอยน้ำให้ประโยชน์น้อยและไม่เหมาะสมต่อการสร้างรายได้ ทีมงานจึงปรับเปลี่ยนแนวทางโดยส่งเสริมการปลูกผักในโรงเรือนหลังคาพลาสติก หรือ “โดมพลาสติก” ให้กับ 7 ครัวเรือน และการเลี้ยงไก่ประดู่หางดำให้กับ 2 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 30 ตัว ความยืดหยุ่นในการปรับแนวทางดำเนินงานนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายข้อที่ 17 ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสร้างความประทับใจอย่างยิ่ง เมื่อ 9 ครัวเรือนที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างจริงจัง สามารถลดรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้เฉลี่ย 903.33 บาทต่อเดือน โดยมี 4 ครัวเรือนสร้างรายได้ 950-2,500 บาทต่อเดือน และ 2 ครัวเรือนลดรายจ่ายได้ 120-500 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมี 12 ครัวเรือนที่ปลูกพืชผักลอยน้ำ และ 15 คนที่ได้รับการฝึกทักษะเชิงปฏิบัติการ

ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการสามารถลดวัสดุเหลือใช้ได้ 24 ชนิด เช่น กล่องโฟม ขวดพลาสติก ฟางข้าว มูลสัตว์ และกระดาษลูกฟูก โดยนำมาใช้เป็นภาชนะปลูกผัก วัสดุปลูก และงานประดิษฐ์ ขณะเดียวกันก็สามารถลดวัชพืชได้ 5 ชนิด เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ 2 ชนิด ได้แก่ ธูปฤๅษี ผือ กก ผักตบชวา และหญ้าไซ โดยใช้หญ้าไซอย่างน้อย 100 กิโลกรัมสำหรับฐานแพผักลอยน้ำ 1 แปลง และผักตบชวาอย่างน้อย 200 กิโลกรัมสำหรับ 2 แปลง

โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนตามแนวทาง BCG ที่เปลี่ยนปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ การนำมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ร่วมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนในระยะยาว ผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้น หากแต่เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการจัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างทุกภาคส่วนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของชุมชน

ลิงก์ข่าว, เพจ Facebook หรือสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง https://rsdi.kku.ac.th/?p=6486

 ผู้ให้ข้อมูลติดต่อกลับ พัชรินทร์ ฤชุวรารักษ์ มือถือ 081-5929868 สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม

Scroll to Top