ความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อการบรรุลเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Collaboration with NGOs for SDGs
มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความร่วมมือกับองค์กรนอกภาครัฐ (NGOs) ที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผ่านโครงการความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา การสร้างองค์ความรู้จากการวิจัย และโครงการพัฒนานักศึกษา โดยที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีการดำเนินโครงการสำคัญหลายโครงการ เพื่อเสริมพลังซึ่งกันและกัน” (Mutual Empowerment) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปลี่ยนมุมมองจากการเป็น “ผู้ให้ความช่วยเหลือ” มาเป็นการสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วน” (Partnership) กับ NGOs โดยใช้หลักการเสริมพลังซึ่งกันและกัน
รูปแบบความร่วมมือและผลงานเด่น (ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา)
โครงการความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาชุมชน (Project-based Collaboration)
- มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ NGOs ได้ร่วมกันออกแบบและดำเนินโครงการที่ตอบโจทย์ปัญหาจริงในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ชัดเจน
เช่น ด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากร (SDG 13, 15) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมมือกับ NGOs ด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, กรีนพีซ หรือองค์กรท้องถิ่น) ในการทำโครงการจัดการป่าชุมชน, การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ, และการแก้ปัญหาไฟป่า โดยมีการส่งนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อสำรวจข้อมูลทางวิทยาศาสตร์, พัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม (เช่น ระบบเตือนภัยไฟป่า, การสำรวจพันธุ์พืชด้วยโดรน) และจัดทำข้อมูลเพื่อสนับสนุนการทำงานของ NGOs ในการเจรจาเชิงนโยบาย
- ความร่วมมือกับ NGOs ด้านการเกษตรทางเลือก (เช่น มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน) เพื่อส่งเสริมระบบเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร โดย
คณะเกษตรศาสตร์ให้ความรู้ด้านการปรับปรุงดิน, การจัดการศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี และการพัฒนาสายพันธุ์พืชท้องถิ่น ส่วนคณะบริหารธุรกิจฯ ช่วยในด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์สินค้าชุมชน ส่งเสริมบทบาท NGOs ในการช่วยจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร, สร้างกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน, และเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาดสีเขียว
การสร้างองค์ความรู้จากการวิจัยร่วมกัน (Collaborative Research)
เป็นการยกระดับจากการทำงานเชิงปฏิบัติการไปสู่การสร้างองค์ความรู้ที่สามารถนำไปขยายผลและสื่อสารเชิงนโยบายได้ เช่น
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research – PAR) โดย นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าหน้าที่ NGOs และชาวบ้านในพื้นที่เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา, ทดลองหาทางออก, และสรุปบทเรียน เช่น โครงการวิจัยเรื่อง สิทธิในที่ดินทำกิน หรือ ผลกระทบของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำหน้าที่ให้กรอบการวิจัยที่น่าเชื่อถือและเป็นระบบ ขณะที่ NGOs ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านที่ไม่สามารถหาได้จากเอกสาร เกิดผลลัพธ์คือ ได้ชุดข้อมูลและองค์ความรู้ที่ทรงพลัง ซึ่งถูกนำไปใช้ในการยื่นข้อเสนอต่อภาครัฐและสร้างความเข้าใจในสังคมวงกว้าง
โครงการพัฒนานักศึกษาเพื่อสร้าง “บัณฑิตเพื่อสังคม” (Student Development)
มหาวิทยาลัยขอนแก่น มองว่า NGOs คือ “ห้องเรียนภาคสนาม” ที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะจิตสำนึกสาธารณะและทักษะการทำงานกับชุมชนให้แก่นักศึกษา จึงส่งเสริมสนับสนุนให้นักศึกษาจัดโครงการอาสาสมัครและค่ายพัฒนาโดยฝ่ายพัฒนานักศึกษาและองค์กรนักศึกษาของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมมือกับ NGOs ในการจัดค่ายอาสาพัฒนาชนบท, โครงการสอนหนังสือ, หรือโครงการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลชุมชน ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ปัญหาจริงของสังคม, ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม, การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม, และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นทักษะที่หาไม่ได้ในห้องเรียน การฝึกงานและสหกิจศึกษา (Internship & Co-operative Education) นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังส่งนักศึกษาจากคณะต่างๆ (เช่น มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, นิติศาสตร์, สาธารณสุขศาสตร์) ไปฝึกงานกับ NGOs ที่ทำงานในประเด็นที่ตรงกับสาขาวิชา เช่น นักศึกษานิติศาสตร์ฝึกงานกับ NGOs ด้านสิทธิมนุษยชน, นักศึกษาสาธารณสุขฝึกงานกับ NGOs ที่ทำงานด้าน HIV/AIDS หรือสุขภาพชุมชน ทำให้บัณฑิตที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในปัญหาสังคมและมี “หัวใจ” ของการเป็นนักพัฒนา ซึ่งหลายคนได้กลายเป็นบุคลากรคุณภาพของภาคประชาสังคมในอนาคต
สรุป ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ NGOs ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนที่แน่นแฟ้นและมีประสิทธิภาพ โดยใช้ “ปฏิบัติการ-วิชาการ-การบ่มเพาะคนรุ่นใหม่” เป็นสามเสาหลักในการขับเคลื่อนวาระ SDGs ให้ลงรากฝังลึกในสังคมไทยอย่างแท้จริง
ในปี 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความร่วมมือกับองค์กรนอกภาครัฐ (NGOs) ที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผ่านโครงการความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา การสร้างองค์ความรู้จากการวิจัย และโครงการพัฒนานักศึกษา ดังนี้
การพัฒนาแหล่งข้อมูลทางการศึกษาร่วมกับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร
มหาวิทยาลัยขอนแก่น จับมือ สมาคมการศึกษาเอกชน สปป.ลาว MOU ผนึกกำลัง ยกระดับการศึกษาลุ่มน้ำโขง
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงนาม MOU สมาคมการศึกษาภาคเอกชน สปป.ลาว เสริมสร้างความร่วมมือพร้อมยกระดับด้านการศึกษาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมุ่งหวังในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนาทางวิชาการระหว่างสองประเทศ และการยกระดับการศึกษาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง พิธีการลงนามประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญจากทั้งสองฝ่าย โดยมี นายสุรพล เพชรวรา อุปนายกสภามหาวิทยาลัย รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมด้วยรองอธิการบดี และ ดร.คำแสน สีสะวง สมาชิกสภาแห่งชาติลาวและประธานสมาคมการศึกษาภาคเอกชน สปป.ลาว ท่านสมพร สอนดารา หัวหน้าแผนกศึกษาธิการและกีฬา นครหลวงเวียงจันทน์ ให้เกียรติเป็นประธานในการลงนาม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารทั้งสองฝ่าย ได้แก่ รศ.ดร.อิศรา ก้านจักร คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ท่านนางจินดา พนเตซา รองประธานสมาคมการศึกษาภาคเอกชน สปป.ลาว ในฐานะผู้ลงนาม ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แก่ ผศ.ดร.ศิริศักดิ์ เหล่าจันขาม คณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น, ผศ.สิริมนพร ทิพสิงห์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ, รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์, รศ.ดร.รัชพล สันติวรากร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์, ผศ.ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี, ดร.ศักดิ์ชัย เจริญศิริพรกุล คณบดีวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ และ ผศ.ดร.สุนทรี บูชิตชน คณบดีคณะสหวิทยาการ ร่วมลงนามเป็นพยาน เพื่อแสดงถึงการขยายความร่วมมือการพัฒนาในทุกมิติต่อไปในอนาคต
รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและการร่วมมือระหว่างลาวและไทย “ความร่วมมือครั้งนี้มีความสำคัญและสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเน้นการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริการการศึกษา การบริการสุขภาพ ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในภูมิภาค การร่วมมือกับสมาคมการศึกษาภาคเอกชน สปป.ลาว เป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ทางด้านการศึกษา ซึ่งจะส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับบริบทของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณะศึกษาศาสตร์ และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา การทำความร่วมมือด้านวิชาการในครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการทำงานวิจัยด้านการศึกษาร่วมกัน และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการจะช่วยยกระดับมาตรฐานการศึกษาในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้สู่ระดับสากล พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายการศึกษาในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”
รศ.ดร.อิศรา ก้านจักร คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และการลงพื้นที่ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเจาะลึกและทำความเข้าใจระบบการศึกษาของ สปป.ลาว ข้อมูลและประสบการณ์ที่ร่วมมือพัฒนาโครงการความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาหลักสูตร การแลกเปลี่ยนบุคลากร และการวิจัยทางการศึกษาร่วมกัน นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนด้านวิชาการแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรทางการศึกษาของทั้งสองประเทศ แและจากการหารือความร่วมมือซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะมีกิจกรรมสำคัญเกิดขึ้น ได้แก่ School Curriculum Development: STEAM, Professional Development for Educator: Coaching& Teaching Excellence, Excellence Innovative Leadership Program: EILP, Student Immersive Development Program และ Educational Innovation Sandbox ทั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางการศึกษาและขับเคลื่อนนวัตกรรมการเรียนการสอนในภูมิภาคต่อไป
มหาวิทยาลัยขอนแก่นจับมือกับสมาพันธ์สมาคมสปาแอนด์เวลเนสไทย ยกระดับการศึกษาด้านการบริการ พร้อมดันขอนแก่นเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยศูนย์การท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก ภายใต้การกำกับดูแลของคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดโครงการ “การอบรมเชิงปฏิบัติการการยกระดับการบริการ เพื่อเตรียมความพร้อมขอนแก่น เมืองการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งอนาคต” และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ สมาพันธ์สมาคมสปาแอนด์เวลเนสไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพนักศึกษาและยกระดับอุตสาหกรรมการบริการด้านสปา เวลเนส และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไทยสู่เวทีระดับนานาชาติ ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องฉัตรทันตา โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชา ออคิด
โดยภายในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการได้รับเกียรติจากนายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นผู้กล่าวสนับสนุนการจัดโครงการ และมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เมษธาวิน พลโยธี ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก กล่าวรายงานวัตถุประสงค์โครงการ และได้รับเกียรติจากผู้บริหารทั้งสองฝ่าย ประกอบไปด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ นางสาวชวนัสถ์ สินธุเขียว ประธานสมาพันธ์สมาคมสปาแอนด์เวลเนสไทย เป็นผู้ลงนามบันทึกความร่วมมือ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรจากทั้งสององค์กรเข้าร่วมงาน ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีการลงนามเป็นการบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “โอกาสของจังหวัดขอนแก่นสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งอนาคต” และการเสวนาเชิงวิชาการ หัวข้อ “การยกระดับบริการเพื่อเตรียมความพร้อมขอนแก่นเมืองการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งอนาคต” จากนั้นเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสนอแนวทางการให้บริการและเส้นทางต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จังหวัดขอนแก่น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ
นายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นมีศักยภาพอย่างยิ่งในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศ ด้วยทรัพยากรที่ครบครัน ทั้งระบบสาธารณสุขที่ทันสมัย โรงพยาบาลและสถานพยาบาลชั้นนำ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในครั้งนี้จะช่วยกันยกระดับมาตรฐานการให้บริการ รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ และสร้างระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จังหวัดขอนแก่นก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาจังหวัดขอนแก่นสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีมาตรฐานระดับโลก การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นหนึ่งในแนวโน้มที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การอบรมเชิงปฏิบัติการและการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางการพัฒนาศักยภาพทางวิชาการ ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานการบริการที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มหาวิทยาลัยขอนแก่นทำความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนไทย ในการพัฒนาองค์ความรู้ ด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยผู้แทนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.รัชพล สันติวรากร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชชา เฟื่องจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และบุคลากรของคณะฯ ร่วมให้การต้อนรับ คุณวิตเตอร์ กิจวัฒนา มณีรักษ์ ประธานมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส คุณกมลพร คล้ายมาก รองประธานมูลนิธิฯ และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ผ่านระบบ Zoom Meeting
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนไทย ในการพัฒนาองค์ความรู้ ด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีขั้นสูง ให้สามารถสร้างโครงการที่ใช้งานได้จริงในการประกวด โอลิมปิกวิชาการนานาชาติ ด้านนวัตกรรมการสร้างสรรค์โปรแกรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์สากล จากประเทศฟินแลนด์ ร่วมกับ 65ประเทศ พร้อมทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนด้านวิชาการและหลักสูตร Curriculum Software Hardware Robot Coding อีกทั้งยังมีการร่วมมือทำงานวิจัย พัฒนา และนำนวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ เพื่อต่อยอดสามารถนำใช้พัฒนาประเทศ และจำหน่ายออกสู่เวทีนานาชาติทั่วโลกสร้างรายได้ขั้นสูง ก่อให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดระบบเศรษฐกิจนวัตกรรมให้กับประเทศ ยกระดับงานวิจัย ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Mission อันสำคัญของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แก่ การวิจัยและสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและสากล และเป็นหนึ่งใน Value ของคณะฯ ตัวอักษร S และ T จาก SMART ได้แก่การอุทิศเพื่อสังคมและมุ่งเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจาก Mission และ Value ดังกล่าวนี้ จะทำให้คณะฯ ก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ที่ได้ตั้งไว้ในการจะเป็น“คณะวิศวกรรมศาสตร์ระดับโลกสำหรับทุกคน” จึงต้องขอขอบคุณ มูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส ในความร่วมมือกันในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความมุ่งมั่นของทั้ง 2 หน่วยงาน จะทำให้การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้
คุณวิตเตอร์ กิจวัฒนา มณีรักษ์ ประธานมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ร่วมจัดทำ MOU กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งประเทศไทยมีกำลังคนที่มีศักยภาพสูง การนำหลักสูตรฟินแลนด์และเอสโตเนีย ซึ่งได้รับการรับรองระดับโลก ที่มูลนิธิเป็นผู้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยจาก International Scratch Creative Programming Olympiad Finland and ROBBO Finland Oy) และพันธมิตร มาใช้ในการพัฒนาทักษะ จะช่วยให้เยาวชนไทยได้รับ ใบรับรองมาตรฐานสากล เพิ่มโอกาสในอาชีพ และสร้างรายได้ที่สูงขึ้น และพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานสากล ด้วยศักยภาพด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผนวกกับประสบการณ์อันยาวนานของ มูลนิธิฯ ในการพัฒนาเยาวชน จึงหวังว่าการลงนาม MOU ในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของทั้งสองหน่วยงาน ในการสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนไทย ในการพัฒนาองค์ความรู้ ด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อก้าวสู่อนาคตแห่ง AI อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
การส่งเสริมพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนผ่านโครงการพัฒนานักศึกษา
โครงการอาสาสมัครเพื่อน้องที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ในปี 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับเครือข่ายและชมรมนักศึกษา จัดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อสังคมที่หลากหลายในด้านต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะมหาวิทยาลัยชั้นนำของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีภารกิจสำคัญในการสร้างคนดีให้แก่สังคม นักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงได้รวมตัวกันจัดตั้งโครงการอาสาสมัครเพื่อน้องที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ประกอบด้วยนักศึกษาจิตอาสา 120 คน จาก 16 คณะ มีการจัดทำกิจกรรมสำคัญ ได้แก่
1) การระดมทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับอาการกลางวันสำหรับผู้เรียนที่ด้อยโอกาส รวมทั้งสิ่งของเสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็น
2) การลงพื้นที่ติวหนังสือให้น้องวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษและวิชาวิทยาศาสตร์
3) การแนะนำทางการศึกษาในการเรียนต่อในคณะต่างๆของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ เช่น โรงเรียนบ้านเหลื่อมพิทยาสรรพตำบลบ้านเหลื่อม อำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 21 มีนาคม 2568

