โครงการหรือมาตรการที่มอบเงินทุนหรือสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการใหม่ในชุมชน

มหาวิทยาลัยขอนแก่นให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ชุมชนเพื่อความยั่งยืนทางการเงินโดยสนับสนุนและผลักดันให้ชุมชนได้รับความช่วยทางการเงิน ผ่านการทำความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ชุมชนได้เข้าถึงแหล่งทุน  และการลงทุนจากโครงการภาครัฐ โครงการริเริ่มของภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่อุทิศตนเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก การอำนวยความสะดวกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการช่วยให้สตาร์ทอัพได้รับเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นและขยายธุรกิจ  และไม่เพียงแต่การช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่มหาวิทยาลัยขอนแก่นยังพัฒนานวัตกรรมในการช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลิตทางการเกษตรให้กับท้องถิ่นอีกด้วย โดยในปี 2568 มีโครงการที่ดำเนินการ ดังนี้ 

มข. จับมือ ธนาคารออมสิน เปิดตัว 5 โครงการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ภายใต้โครงการ “ออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น” ประจำปี 2568

วันที่  10 เมษายน 2568 สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ ธนาคารออมสิน จัดกิจกรรมนำเสนอแนวทางการพัฒนากลุ่มองค์กรชุมชน ภายใต้โครงการเสริมสร้างและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น “ออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น” และการบูรณาการการเรียนการสอนควบคู่กับการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อมในท้องถิ่น ซึ่งนอกจากนักศึกษาจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงแล้ว ยังช่วยยกระดับผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น”

คุณศราวุธ สุขเลิศตระกูล ผู้อำนวยการเขตขอนแก่น 1 ธนาคารออมสิน กล่าวว่า “ธนาคารออมสินมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาชุมชนใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การนำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยไปต่อยอดให้ชุมชน การสนับสนุนแหล่งเงินทุน การส่งเสริมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการพัฒนาธุรกิจชุมชน และการจัดหาพื้นที่แสดงสินค้าผ่านตลาดนัดชุมชนออมสิน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการจัดอบรมออนไลน์และกิจกรรมอื่นๆ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของธนาคารออมสินในฐานะธนาคารเพื่อสังคม ผมขอขอบคุณมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่เปิดโอกาสให้ธนาคารออมสินได้มีส่วนร่วม และให้นักศึกษาได้นำองค์ความรู้ไปพัฒนาชุมชน”

โครงการ “ออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น” มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา คณาจารย์ และนักวิจัย ในการทำงานเป็นทีม สร้างการคิดวิเคราะห์และการร่วมงานข้ามศาสตร์สาขากับชุมชนท้องถิ่น ให้นักศึกษานำองค์ความรู้ในศาสตร์สาขาไปประยุกต์ใช้พัฒนาท้องถิ่น ทั้งด้านการพัฒนาอาชีพและระบบบัญชีต้นทุน ส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ด้วยการประกอบอาชีพที่มั่นคง สร้างรายได้ และกระตุ้นระบบเศรษฐกิจภายในชุมชน สำหรับปีงบประมาณ 2568 นี้ ได้มีการนำเสนอโครงการย่อยจำนวน 5 โครงการ ครอบคลุม 5 ชุมชนใน 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองขอนแก่น อำเภอหนองเรือ อำเภอสีชมพู และอำเภอกุฉินารายณ์

มหาวิทยาลัยขอนแก่นขอรับการสนับสนุนเงินทุนจากแหล่งทุนระดับประเทศเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านการช่วยเหลือด้านเงินทุนจากรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ

นวัตกรรมโดรนเกษตรชุมชนเพื่อเศรษฐกิจท้องถิ่นยั่งยืน (สนับสนับสนุนงบประมาณโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

ครั้งแรกในอีสาน! มข.จับมือ กรมวิชาการเกษตร จัดคอร์สติวเข้มทฤษฎี-ปฏิบัติ “ผู้ควบคุมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ กรมวิชาการเกษตร และเครือข่าย จัดโครงการอบรมหลักสูตร ผู้ควบคุมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน ระหว่างวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2568 โดยได้รับเกียรติจากนางสาวปรียานุช ทิพยะวัฒน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธานในพิธี ท่ามกลางผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ และผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 150 คน ณ โรงแรมบายาสิตา จังหวัดขอนแก่น

รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า มหาวิทยาลัยได้พัฒนาโครงการเครือข่ายธุรกิจและบริการโดรนเกษตรโดยได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่มุ่งบูรณาการทั้งโมเดลธุรกิจ แพลตฟอร์ม AI และภาคีเครือข่าย เพื่อสนับสนุนกรมวิชาการเกษตรและยกระดับศักยภาพนักบินโดรนเกษตรให้เข้าถึงความรู้และทักษะที่ลึกซึ้ง ลงพื้นที่ชุมชน เพื่อสร้างแบรนด์นักบินโดรนเกษตรที่มั่นใจ ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

จากนั้น นางช่อทิพย์ ศัลยพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช ได้กล่าวว่า หลักสูตร “ผู้ควบคุมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน” มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้แก่ผู้รับจ้างพ่น เกษตรกร และนักวิจัย ในการใช้โดรนเกษตรอย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย (TAITA) ที่มอบชุดอุปกรณ์นิรภัยและสนับสนุนการทำบัตรประจำตัวผู้รับจ้างบินโดรนพ่นสารเพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในงานเกษตรกรรม

สำหรับการจัดฝึกอบรมหลักสูตร “ผู้ควบคุมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน” ตลอดทั้ง 2 วันเน้นเสริมสร้างความรู้และทักษะการใช้เทคโนโลยีการเกษตรล้ำสมัย โดยผสานเนื้อหาเกี่ยวกับโรคพืช แมลงและไรศัตรูพืช วัชพืช การใช้ปุ๋ยและสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชผ่านอากาศยาน พร้อมเจาะลึกเทคนิคการพ่นสารด้วยโดรน การผสมสูตรสารต่าง ๆ และการใช้สารอย่างถูกต้องตามกฎหมายพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมจะได้ฝึกปฏิบัติจริงใน 3 ฐาน ได้แก่ ฐานโรคพืช ฐานแมลงและไรศัตรูพืช และฐานวัชพืช ก่อนเข้าสู่การทดสอบความรู้ภาคทฤษฎีและปฏิบัติ และรับเกียรติบัตรพร้อมปิดการอบรมอย่างเป็นทางการ

โครงการส่งเสริมการพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการ SME ด้วย Soft Power ปีงบประมาณ 2568

(ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.))

โครงการส่งเสริมการพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการ SME ด้วย Soft Power เป็นโครงการที่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ดำเนินการในปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อ ยกระดับแนวคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการ SME ให้สามารถประยุกต์ใช้ทุนทางวัฒนธรรม ท้องถิ่น และภูมิปัญญาไทย (Soft Power) เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้มีความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ 

วัตถุประสงค์ 

1) ส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมายสามารถก่อคตั้งธุรกิจได้จริง

2)เชื่อมโยงองค์ความรู้และเชื่อมโยงส่งต่อให้หน่วยงานที่มีหน้าที่สร้างและส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการอย่างยั่งยืนและเชื่อมโยงแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการ

3) ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถนำ Soft Power (ทุนทางวัฒนธรรม, ท้องถิ่น, ภูมิปัญญาไทย) มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการ

4)เพื่อยกระดับธุรกิจ SME ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับชาติและระดับนานาชาติ  

กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการ SME ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหาร ท่องเที่ยว การออกแบบแฟชั่น

นวัตกรรมเทคโนโลยีสีเขียว: การผลิตไบโอไฮเทนแบบทนอุณหภูมิสูงจากใบอ้อย เพื่อลดฝุ่น PM2.5 และสร้างพลังงานหมุนเวียนในภาคอีสาน ประเทศไทย  (สนับสนุนงบประมาณโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)

การจัดการของเสียทางการเกษตรอย่างยั่งยืนเป็นความท้าทายสําคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอ้อยที่สําคัญระดับโลก ภูมิภาคนี้เป็นฐานการผลิตของบริษัทน้ําตาลรายใหญ่ที่มีมูลค่าการส่งออกติดอันดับ 1-5 ของโลก อย่างไรก็ตาม ความสําเร็จทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาใบอ้อยในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวในบริบทนี้ แนวคิดเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน Schiederig et al. (2012) นิยามเทคโนโลยีสีเขียวว่าเป็นนวัตกรรมที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงานและทรัพยากร ลดของเสีย และส่งเสริมพลังงานทดแทน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสีเขียวในการจัดการใบอ้อยจึงมีศักยภาพสูงในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและพลังงานไปพร้อมกัน Sornpoon etal. (2014) รายงานว่าในช่วงฤดูเผา ระดับฝุ่นละออง PM2.5 ในภาคอีสานสามารถสูงถึง 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินกว่าแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่กําหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรสําหรับการรับสัมผัสเฉลี่ย 24 ชั่วโมง สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความจําเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาแนวทางการจัดการใบอ้อยที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โครงการวิจัยนี้นําเสนอนวัตกรรมในการแปรรูปใบอ้อยเป็นไบโอไฮเทน ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการของเทคโนโลยีสีเขียวในหลายมิติ กระบวนการที่พัฒนาขึ้นมีนวัตกรรมสําคัญคือ การหมักแบบทนร้อน(ประมาณ 45°C) และความดันต่ํา ซึ่งการเพิ่มอุณหภูมิการหมักจะทําให้เพิ่มอัตราการผลิตได้ถึง 1.5 ถึง 2 เท่าและลดปัญหาการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ เมื่อเทียบกับการหมักที่อุณหภูมิปานกลาง แนวทางนี้มีศักยภาพที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไบโอไฮเทนอย่างมีนัยสําคัญ โดยเฉพาะในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศเขตร้อนอย่างประเทศไทย การหมักแบบความดันต่ําช่วยลดแรงดัน (hydrogen partial pressure) ภายในถังหมักป้องกันไม่ให้แรงดันสูงเกินไป ซึ่งหากเกิด hydrogen partial pressure สูง จะทําให้วิถีการผลิตเปลี่ยนจากacidogenesis เป็น solventogenesis ส่งผลให้การผลิตแก๊สลดลง นอกจากนี้ การใช้เทคนิคการปรับสภาพด้วยวิธีไฮโดรเทอร์มอล ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยทําลายโครงสร้างลิกนินและเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายของใบอ้อย (Lei et al., 2013) ซึ่งโดยปกติประกอบด้วยเซลลูโลส 30-37% เฮมิเซลลูโลส 24-28%และลิกนิน 18-22% (Athira et al., 2021) โครงการนี้ยังศึกษาการผลิตไฮโดรเจนและมีเทนแบบสองขั้นตอนในระดับถังปฏิกรณ์ชีวภาพระดับ bench-scale โดยใช้ถังปฏิกรณ์ขนาด 5 ลิตรสําหรับไบโอไฮโดรเจน และ 15 ลิตรสําหรับมีเทน มีการศึกษาผลของระยะเวลากักเก็บ (HRT) และการหมักที่ความดันต่ําโดยใช้ปั๊มสุญญากาศนอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแบบจําลองเพื่อคาดการณ์ขนาดถังปฏิกรณ์ชีวภาพและศักยภาพการผลิตไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้งานในรถกอล์ฟไฟฟ้า การศึกษาการใช้ประโยชน์จากของเสียที่เหลือจากกระบวนการผลิต

โดยวิเคราะห์คุณสมบัติการเป็นปุ๋ยชีวภาพและเชื้อเพลิง Refuse Derived Fuel5 (RDF5) สะท้อนถึงแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่ง Mathews and Tan (2011) ระบุว่าเป็นองค์ประกอบสําคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน การจัดการของเสียแบบครบวงจรนี้สอดคล้องกับหลักการของเทคโนโลยีสีเขียวในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โครงการวิจัยนี้ยังมีแผนในการจัดทําแนวทางการนําผลงานวิจัยไปใช้เชิงสังคม (social implementation plan) ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้จริงในสังคม ผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่เพียงแต่จะได้กระบวนการผลิตไบโอไฮเทนจากใบอ้อยที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ยังสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียนและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับภูมิภาคอื่นๆ และพืชชนิดอื่น โดยเฉพาะในสภาพภูมิอากาศเขตร้อนจากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่างานวิจัยนี้นําเสนอการบูรณาการแนวคิดเทคโนโลยีสีเขียวในการแก้ปัญหาการจัดการของเสียทางการเกษตรและการผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations, 2015) การสนับสนุนโครงการวิจัยนี้จึงเป็นการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวที่มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างกว้างขวางต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและภูมิภาค

วัตถุประสงค์ 1) การหาสภาวะที่เหมาะสมสําหรับการผลิตไบโอไฮเทน: ศึกษาและวิเคราะห์สภาวะที่เหมาะสมในการผลิตไบโอไฮเทนจากใบอ้อยที่ผ่านการปรับสภาพด้วยวิธีไฮโดรเทอร์มอล โดยใช้กระบวนการหมักแบบสองขั้นตอนในระบบแบบกะ ทั้งในสภาวะอุณหภูมิปานกลางและสภาวะทนร้อน

2) การศึกษาระยะเวลากักเก็บที่เหมาะสม: วิเคราะห์และกําหนดระยะเวลากักเก็บที่เหมาะสมสําหรับการผลิตไบโอไฮเทนจากใบอ้อยที่ผ่านการปรับสภาพ ในถังปฏิกรณ์ชีวภาพระดับ bench-scale เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

3) การใช้ประโยชน์จากของเสียเหลือทิ้ง: พัฒนาแนวทางการใช้ประโยชน์จากของเสียที่เหลือจากกระบวนการผลิตไบโอไฮเทน โดยมุ่งเน้นการแปรรูปเป็นปุ๋ยชีวภาพและเชื้อเพลิง RDF5 เพื่อสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

4) การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี: พัฒนาและประยุกต์ใช้แบบจําลองทางคณิตศาสตร์เพื่อประเมิน

ความเป็นไปได้และประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการผลิตไบโอไฮเทนจากใบอ้อย

5) การจัดทําแผนการนําผลงานวิจัยไปใช้เชิงสังคม: พัฒนาแนวทางและแผนการนําเทคโนโลยีการผลิตไบโอไฮเทนจากใบอ้อยไปประยุกต์ใช้ในสังคม (social implementation plan) เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในวงกว้าง

6) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ: เสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและญี่ปุ่น พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยผ่านการทํางานร่วมกันในโครงการ

มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลเพื่อพัฒนานวัตกรรมการลดต้นทุนและเพิ่มผผลิตเกษตร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดตัวนวัตกรรม “เครื่องพ่นอัตโนมัติพ่วงท้ายแทรกเตอร์” นวัตกรรมเพื่อเกษตรกร ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ปลอดภัยและยั่งยืน โดยร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.)

มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภสิทธิ์ คนใหญ่ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนา ตอกย้ำบทบาทมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัยและอุทิศเพื่อสังคม จับมือ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) โดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภาคที่ 2 จังหวัดกำแพงเพชร เปิดตัวนวัตกรรม “เครื่องพ่นอัตโนมัติพ่วงท้ายแทรกเตอร์” เครื่องมือการเกษตรอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อปฏิวัติการทำไร่อ้อยและพืชไร่ของไทยสู่เกษตรกรรมแบบแม่นยำ (Precision Agriculture) 

 นวัตกรรมนี้คือผลลัพธ์ของความร่วมมือที่มุ่งแก้ปัญหาให้เกษตรกรอย่างตรงจุด ทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ต้นทุนการผลิตที่สูง และความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมี โดยการนำองค์ความรู้และงานวิจัยจากรั้วมหาวิทยาลัยมาสร้างเป็นเครื่องมือที่จับต้องได้และเข้าถึงง่าย

เครื่องพ่นอัตโนมัติพ่วงท้ายแทรกเตอร์ต้นแบบ ได้ถูกส่งมอบไปยังศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ (กาญจนบุรี, กำแพงเพชร, ชลบุรี, และอุดรธานี) เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจสามารถเข้าศึกษาดูงาน ทดลองใช้งาน และนำแนวคิดไปพัฒนาต่อยอดสู่การทำเกษตรอัจฉริยะในพื้นที่ของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย แต่ยังเป็นการยืนยันถึงพันธกิจของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

ม.ขอนแก่น ยกระดับวัตถุดิบอีสาน หนุนนวัตกรรมพัฒนา ‘ข้าวทับทิมชุมแพ’ พาณิชย์’เสริมทัพ ร่วมสร้างแผนที่นวัตกรรม Innovation Roadmap ส่งเสริมศักยภาพวิสาหกิจชุมชนเข้มแข็ง

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น มอบหมายฝ่ายนวัตกรรมและวิสาหกิจ นำโดย ดร.อภิรชัย วงษ์ศรีวรพล ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมด้วย นางสาววราภรณ์ ผิวพรรณงาม รักษาการแทนรองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม และฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษา นำโดย นายธนายุทธ สังข์อินทร์ รักษาการแทนผู้อำนวยการกองบริหารงานวิจัย ให้การต้อนรับ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎรนำโดย นายฐากร ตันฑสิทธิ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ลงพื้นที่ศึกษาดูงานวิสาหกิจต้นแบบในพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งได้รับเกียรติจาก นางสาวอ้อยใจ คำบุญเรือง นายอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น นายวันที เนื่องชุมพล เกษตรอำเภอชุมแพ พร้อมด้วย นางไพริน ชาญชิต ผู้ใหญ่บ้านโนนอุดม หมู่ที่ 6 และในนามประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพการเกษตรตำบลโนนอุดม กล่าวต้อนรับ โดยมี  นายศารุมภ์  โหม่งสูงเนิน พาณิชย์จังหวัดขอนแก่น คณะผู้บริหารและบุคลากรมหาวิทยาลัยขอนแก่น หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรอำเภอชุมแพ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมต้อนรับ ณ วิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพการเกษตรตำบลโนนอุดม อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ รับฟังการนำเสนอรายละเอียดการสนับสนุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและภาคีเครือข่าย ลำดับแรกของการนำเสนอหัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยขอนแก่นในการขับเคลื่อนด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนและสังคม โดยรศ.ดร.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีได้มอบหมายให้ ดร.อภิรชัย วงษ์ศรีวรพล ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้แทนในการนำเสนอ

กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะขุมทรัพย์ปัญญาแห่งอีสาน ดำเนินงานพัฒนากำลังคน องค์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อเนื่องมากว่า 6 ทศวรรษ ซึ่งปัจจุบันได้ทำงานแบบบูรณาการโดยการขับเคลื่อนผ่านกลไกความร่วมที่สร้างจากอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Regional Science Park : RSP) ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนวิสาหกิจชุมชน และสถาบันอุดมศึกษา

ยกตัวอย่างเช่น วิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพการเกษตรตำบลโนนอุดม ที่เราได้มีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านในวันนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้แผนงานผู้จัดการนวัตกรรม (Certified Innovation Manager) มีฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกัน คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่น และวิสาหกิจชุมชนฯ โดยการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ การถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย ด้านการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร ส่งเสริมด้านการตลาด รวมทั้งการให้บริการของห้องปฏิบัติการอาหารแห่งอนาคต (The Next Food Center : NFC) เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่เกิดขึ้นจากโครงการ ได้แก่ 1) น้ำนมข้าวทับทิมชุมแพ 2) โจ๊กข้าวทับทิมชุมแพ 3) ข้าวทับทิมชุมแพสำเร็จรูปพร้อมทาน ซึ่งพร้อมสำหรับการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้และยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนต่อไป”

จากนั้น นายศารุมภ์ โหม่งสูงเนิน พาณิชย์จังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงบทบาทของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่นในฐานะภาคีเครือข่ายที่ร่วมผลักดันผลิตภัณฑ์ข้าวทับทิมชุมแพออกสู่ตลาด โดยได้สนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพการเกษตรตำบลโนนอุดมฯ เข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการและจัดจำหน่ายสินค้าในงาน THAIFEX เมื่อปี พ.ศ. 2565 และปี พ.ศ. 2566 โดยปัจจุบันได้จำหน่ายในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น อาทิ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาสินค้าโอทอปที่ว่าการอำเภอชุมแพ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาสินค้าโอทอปศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ร้านของฝากอิหล่าคำแพง ท่าอากาศยานขอนแก่น โดยวางแนวทางต่อยอดในตลาดต่างภูมิภาค ตลาดออนไลน์ ตลอดจนการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อแก้วิกฤติความมั่นคงด้านอาหารในอนาคต นอกจากนี้ การส่งต่อองค์ความรู้แห่งปัญญาท้องถิ่นจะต้องถูกปลูกฝังและถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลังด้วยความร่วมมือดังกล่าวยังต่อยอดการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน “ข้าวทับทิมชุมแพแบรนด์ดิ้ง” โครงการต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐานกับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา (Continuous and Linking Curriculum:CLC) จังหวัดขอนแก่น โดย ดร.นัตยา หล้าทูนธีรกุล ศึกษานิเทศก์ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น กระทรวงศึกษาการอีกด้วย

ในช่วงท้าย นางไพริน ชาญชิต ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพการเกษตรตำบลโนนอุดม อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ภาคภูมิใจในการประกอบอาชีพเกษตรกร และได้ปลูกข้าวทับทิมชุมแพ ที่มีผลวิจัยพบว่า มีโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มี “สารแอนโทไซยานิน” และ “โปรแอนโทไซยานิน” ซึ่งช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยบำรุงสายตา จากคุณค่าดังกล่าวถูกเพิ่มมูลค่าจากการสนับสนุนและผลักดันของทุกภาคส่วน ซึ่งในอนาคตทางวิสาหกิจชุมชนจะร่วมพัฒนาให้ห้องบรรจุข้าวสาร อุปกรณ์ เครื่องมือ สถานที่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ให้ได้รับมาตรฐานอาหารและยา (อย.) เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของคนในชุมชน จังหวัด และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างยั่งยืนต่อไป

รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการศึกษาวิจัยการพัฒนาข้าวยั่งยืน เสนอรัฐ หนุนปลูกข้าวยั่งยืน เพิ่มกำไร ลดก๊าซเรือนกระจก ชี้สร้างโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก

รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) หัวหน้าโครงการประเมินค่าของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในการพัฒนาระบบผลิตข้าวในประเทศไทย ภายใต้โครงการ The Economics of Ecosystems and Biodiversity (TEEB) For Agriculture and food ประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการฯ ว่า ผลการศึกษาวิจัยในปี พ.ศ. 2567 โดยเริ่มต้นจากพื้นที่นำร่องในอำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ครอบคลุม 37 หมู่บ้าน โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 249 ครัวเรือน ทำการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ 1,500 ไร่ ผลการวิจัยพบว่าเกษตรกรที่ปลูกข้าวยั่งยืนตามมาตรฐาน SRP (The Sustainable Rice Platform) จำแนกเป็นข้าวหอมมะลิ 105 ได้กำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,600 บาทต่อไร่ ขณะที่เกษตรกรที่ปลูกข้าวเหนียว กข6 ได้กำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,700 บาทต่อไร่ เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการปลูกแบบเดิม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นมาจากการลดต้นทุนการผลิตข้าวต่อกิโลกรัมลงประมาณ 30% แม้ว่าต้นทุนต่อไร่จะสูงขึ้นเนื่องจากการใช้ปุ๋ยตามสูตรที่ถูกต้องและในปริมาณที่เหมาะสม แต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นถึง 30% ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมดีขึ้น เกษตรกรยังได้รับราคาสูงกว่าราคาตลาดเล็กน้อย เนื่องจากข้าวที่ผลิตได้มีคุณภาพระดับพรีเมียม

รศ.ภูมิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์ต่อสาธารณะจากโครงการ พบว่าการห้ามเผาข้าวหลังฤดูเก็บเกี่ยว ช่วยลดมลพิษทางอากาศซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนการดูแลสุขภาพเฉลี่ยต่อไร่จำนวน 112 บาท เมื่อคำนวณกับพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ไร่ ทำให้ลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลได้กว่า 168,000 บาทต่อปี นอกจากนั้นการผลิตข้าวด้วยวิธี SRP ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นมูลค่า 974 บาทต่อไร่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศ โดยโครงการนี้สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าวได้ 20-30% นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าจะช่วยลดการพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากภาครัฐที่ใช้ไปกับเกษตรกรปลูกข้าวปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท หากเกษตรกรสามารถสร้างกำไรจากการปลูกข้าวได้ด้วยตนเอง

สำหรับกระบวนการทำงานและการขยายผลภายใต้โครงการฯ มีดังนี้ คือ เริ่มจากการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานเกษตรจังหวัดขอนแก่นและกรมชลประทาน เพื่อคัดเลือกพื้นที่และเกษตรกรที่เข้าร่วม จากนั้นสร้าง NODE (Local Lead Farmer) เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและติดตามเกษตรกรในพื้นที่ โดยแต่ละ NODE ดูแลเกษตรกรประมาณ 10-15 คน และในปี 2568 ได้สานต่อโครงการ”Thai Rice for Life: รู้คุณค่าข้าว เพื่อชีวิต และธรรมชาติ” โดยขยายพื้นที่ต่อเนื่องในอำเภอพระยืน และมีการขยายพื้นที่ใหม่ไปยัง 3 อำเภอ ในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ อำเภอพล อำเภอหนองสองห้อง และอำเภอน้ำพอง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 1,150 ครัวเรือน กระจายอยู่ใน 83 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 16,000 ไร่

รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ กล่าวถึงการฝึกอบรมและผลผลิตว่า การฝึกอบรมเกษตรกรจัดเป็น 3 โมดูล ได้แก่ โมดูลที่ 1 การวางแผนการเพาะปลูก การเลือกเมล็ดพันธุ์ และการเตรียมดิน โมดูลที่ 2 การใส่ปุ๋ย การจัดการน้ำ และการจัดการศัตรูพืช และโมดูลที่ 3 การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวโดยไม่มีการเผานาข้าว สำหรับผลผลิตจากโครงการฯในปีที่ผ่านมาบริษัทเอกชนได้เข้ามารับซื้อข้าวโดยตรงจากเกษตรกรในโครงการประมาณ 170 ตัน ขณะที่ในปี 2568 เกษตรกรแจ้งจำนงจะขายข้าวประมาณ 2,800-2,900 ตัน จากผลผลิตจริงที่คาดว่าจะได้ประมาณ 4,000 ตัน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายระยะยาวของโครงการคือการสร้างเกษตรกรต้นแบบจำนวน 1,000 คนใน 500 หมู่บ้าน ในปี 2569 เพื่อเกษตรกรต้นแบบเหล่านี้จะเป็นฐานในการขยายกลุ่มเป้าหมายให้ได้ 10,000 ครัวเรือนในปี 2570 และ 40,000 ครัวเรือนในปี 2571 ซึ่งทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ใช้วิธีการเพาะปลูกแบบปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว SRP ประมาณ 400,000 ไร่ ในปี 2571

“ปัจจุบันข้าว SRP มีความต้องการในตลาดต่างประเทศสูง โดยเฉพาะตลาดอเมริกาที่เป็นตลาดข้าวหอมมะลิหลักของไทยเริ่มให้ความสนใจข้าว SRP โดยมีปริมาณความต้องการในระดับหลายหมื่นตันหรืออาจถึงแสนตันต่อปี และตลาดสหภาพยุโรปที่มีความต้องการข้าวที่ได้รับรองมาตรฐาน SRP จากไทยหลายหมื่นตันต่อปี ดังนั้นการพัฒนาข้าวยั่งยืนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดที่มีมูลค่าสูง หากไม่ส่งเสริมให้เกิดข้าว SRP ในระยะยาว ประเทศไทยมีโอกาสเสียตลาดให้กับประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนามที่ประกาศผลิตข้าวคาร์บอนต่ำภายใน 3-4 ปีข้างหน้า แต่ปัญหาหลัก คือ ระบบการสนับสนุนเกษตรกรของภาครัฐยังเป็นการสนับสนุนแบบไม่มีเงื่อนไขและไม่เฉพาะเจาะจงทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูก นอกจากนั้นเงินทุนวิจัยของภาครัฐที่ไม่สูงและไม่ต่อเนื่องทำให้การทำงานวิจัยเพื่อสร้างต้นแบบและขยายผลใน Scale ขนาดใหญ่ทำได้ค่อนข้างจำกัดและไม่ต่อเนื่อง

ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐออกนโยบายสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมาร่วมสนับสนุนโครงการ โดยสร้างแพลตฟอร์ม Cluster เชื่อมข้อมูลทั้งระบบ สร้างกลไกเชื่อมต่อตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้การพัฒนาข้าว SRP ของไทยมีความยั่งยืน สามารถรักษาฐานเกษตรกรที่มีอยู่ และเสริมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดส่งออกข้าวระดับโลก”

SDGs1
Scroll to Top